วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หลักการใช้ Tense ทั้ง 12

หลักการใช้ Tense ทั้ง 12


Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.     Present   tense        ปัจจุบัน
               2.     Past   tense              อดีตกาล
               3.     Future   tense          อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).


โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).  
                
หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้
              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,
1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.    
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู้  เป็นต้น.
4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.
6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.
7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.
8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.


[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.
1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.

            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense
4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.



   [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.
*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.
1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.

        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว
1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.
3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.
2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.
           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.



  [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.
              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.
           * Shall   ใช้กับ     I    we.
             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.
             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.

       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.
1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.
               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.
                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .


        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.
1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.
2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.
-         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.
จบเรื่อง  Tense

การใช้ much, many


การใช้ much, many 



Much   ใช้ขยายคำนามที่นับไม่ได้ นิยมใช้ในประโยคปฏิเสธ ประโยคคำถามและหลังคำ  How, too, so, as เช่น

      How much tea have you?

      He has not much sugar.

      He drinks so much beer that he gets fatter.    

Many ใช้ขยายคำนามที่นับได้ พหูพจน์ นิยมใช้ในประโยชน์ปฏิเสธ และประโยคคำถามและหลังคำ how, too, so,as เช่น

      How many pencils have you?

      He has not many books.

      I have as many pencils as you.

      He drank too many glasses of wine.  



การใช้ much, many  ในประโยคบอกเล่า

1. ใช้กับคำว่า  how เช่น

    I know how much money he has.

    I know how many book he has.  

2. ใช้กับคำว่า so เช่น

    She has so much money that she is not happy.

    I have so many friends that I can't remember all their names.

3. ใช้กับคำว่า very เช่น

    In the last examination, very many students failed.

     Very much rice was spoiled by a new kind of insect.

4. ใช้กับคำว่า too เช่น

    She ate too many apples.

    I have too much work to finish in time.

5. ใช้นำหน้าประโยคบอกเล่า เช่น
     Many people go to the beach every summer.

     Much of what you say is not true.

การเปรียบเทียบ

-- การเปรียบเทียบ--
 การรเปรียบเทียบมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ
1. การเปรียบเทียบในขั้นปกติ มีโครงสร้างดังนี้ คำที่นำมาเปรียบเทียบอยู่ระหว่างคือคำคุณศัพท์ (adjective) และคำกริยาวิเศษณ์ (adverb)
as.........as  ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่เท่ากัน
Natee is as old as Ladda.
not as....as /not so ........as   ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่ไม่เท่ากัน
Today is not so hot as yesterday.
the same......as  ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่เท่ากัน คำที่ใช้ระหว่าง the same ......as จะต้องเป็นคำนาม เช่น
Kanda's salary is the same as mine. หรือ Kanda gets the same salary as me.
Note: หลัง as/than ถ้าไม่มี verb ตาม เราจะใช้ me/ him/ her/ them/ us
2. การเปรียบเทียบในขั้นกว่า (comparative degree) เป็นการเปรียบเทียบคน 2 คน สิ่งของ 2 สิ่งมีโครงสร้างดังนี้
adj./adv+erthan
more+adj./advthan
He is older than me.
She is happier than him.
She is more intelligent than me.
Note: 1.ในการเปรียบเทียบขั้นกว่าเราสามารถใช้ a bit , a little, a lot, much, far,หรือ rather ขยาย
adjective หรือ adverb เช่น
Prannee works much harder than Nittaya.
The blue car is rather nicer than the red one.
2. ในการเปรียบเทียบขั้นกว่าเมื่อต้องการแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นหรือแปรตรงต่อกัน
และในข้อความในส่วนที่สองมักจะเป็นผลของข้อความในส่วนแรกมีโครงสร้างดังนี้
the + adj./adv ขั้นกว่า + (N) + (clause), the+ adj./adv ขั้นกว่า + (N) +(clause)
The harder you study, the more you learn.
The faster you drive, the more dangerous it is.
3. การเปรียบเทียบในขั้นสูงสุด (superlative degree) เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นที่สุดมีโครงสร้างดังนี้
the+adj./adv+est
the most+adj./adv
Tom is the tallest in the class.
Sunee is the most beautiful woman in Chiang Mai.
และถ้าเราต้องการจะเปรียบเทียบให้เห็นว่าน้อยที่สุดใช้โครงสร้างนี้
the least +adj./adv
This is the least expensive shirt I've ever bought.
การเปลี่ยนขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุด
1. เติม er และ est ในคำพยางค์เดียว
talltallertallestสูง
long longer    longestยาว
short  shorter   shortestสั้น
young  younger youngestอ่อน
thickthickerthickestหนา
harderharderhardestแข็ง
He is tall.
He is taller than me.
He is the tallest player on the team.
2. เป็นคำพยางค์เดียวมีสระเดียวและตัวสะกดเดียวทำเป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุดด้วยการเติม
ตัวสะกดอีกตัวแล้วเติม er และ est      
bigbiggerbiggestใหญ่
hothotterhottestร้อน
thinthinnerthinnestผอม
fatfatterfattestอ้วน
sadsaddersaddestเศร้า
She is fat.
She is fatter than her sister.
She is the fattest girl in the company.
3. คำพยางค์เดียวและสองพยางค์ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม er ในขั้นกว่า เติม est ในขั้นสูงสุด
drydrierdriestแห้ง
luckyluckierluckiestโชคดี
easyeasiereasiestง่าย
prettyprettierprettiestน่ารัก สวยงาม
lazylazierlaziestขี้เกียจ
happyhappierhappiestมีความสุข
Math is easy.
Math is easier than chemistry.
Math is the easiest subject at school.
4. คำที่มีสองพยางค์และลงด้วย er, re, le และ ow เติม er ในขั้นกว่าและเติม est ในขั้นสุงสุด
clevercleverercleverestฉลาด
simplesimplersimplestง่าย
narrownarrowernarrowestแคบ
shallowshallowershallowestตื้น
bitterbittererbitterestขม
noblenoblernoblestมีเกียรติ
I am clever.
I am cleverer than you.
I am the cleverest student in my grade.
5. คำกริยาวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย ly ให้เติม more ในขั้นกว่าและเติม most ในขั้นสุงสุด
slowlymore slowlymost slowlyช้า
loudlymore loudlymost loudlyดัง
quicklymore quicklymost quicklyเร็ว
6. คำที่สามารถเติมได้ทั้ง er, est หรือ more, most
clevercleverercleverestฉลาด
more clevermost clever
quietquieterquietestเงียบ
more quietmost quiet
handsomehandsomerhandsomestหล่อ
more handsomemost handsome
cruelcruelercruelestใจร้าย
more cruelmost cruel
commoncommonercommonestธรรมดา
more commonmos t common
7. คำคุณศัพท์ที่มีสองพยางค์ออกเสียงยาวใช้ more และ most
usefulmore usefulmost usefulมีประโยชน์
selfishmore selfishmost selfishเห็นแก่ตัว
honestmore honestmost honestซื่อสัตย์
fertilemore fertilemost fertileอุดมสมบูรณ์
8. คำคุณศัพท์ที่สามพยางค์ขึ้นไปให้ใช้ more และ mostได้เท่านั้น
dangerousmore dangerousmost dangerousอันตราย
beautifulmore beautifulmost beautifulสวยงาม
interestingmore interestingmost interestingน่าสนใจ
difficultmore difficultmost difficultยาก
importantmore importantmost importantสำคัญ
suitablemore suitablemost suitableเหมาะสม
9. คำที่ไม่เป็นไปตามกฎ
good (well)betterbestดี
badworseworstเลว
much, manymoremostมาก
littlelessleastน้อย
fewfewerfewestน้อย
nearnearernearestใกล้
farfarther/ furtherfarest/ furthestไกล
oldolder/elderoldest/ eldestแก่ เก่า

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ศัพท์อาชีพภาษาจีน

คำศัพท์ภาษาจีน อาชีพ
คำศัพท์พินอินคำอ่านความหมาย
1.厨师     chúshīฉูซือพ่อครัว
2.画家    huàjiāฮว่าเจียจิตรกร
3.工程师     gōngchéngshīกงเฉินซือวิศวกร
4.警察    jǐngcháจิ่งฉาตำรวจ
5.歌手      gēshǒuเกอโซ่วนักร้อง
6.记者      jìzhěจี่เจ่อนักข่าว
7.翻译家   fānyìjiāฟานอี้เจียนักแปล
8.作家     zuòjiāจั้วเจียนักประพันธุ์
9.飞行员    fēixíngyuánเฟยสิงเหยียนนักบิน
10.商人   shāngrénซางเหรินนักธุรกิจ
11.空中小姐 kōngzhōngxiǎojiěคงจงเสียวเจี่ยแอร์โฮสเตส
12.军人     jūnrénจวูนเหรินทหาร
13.编辑     biānjíเปียนจี๋บรรณาธิการ
14.外交官  wàijiāoguānไว่เจียวกว่านนักการฑูต
15.魔术师   móshùshīโหมวซู่ซือนักมายากล
16.建筑师 jiànzhúshīเจี้ยนจู๋ซือสถาปนิก
17.木匠  mùjiangมู่เจี่ยงช่างไม้
18.法官    fǎguānฝ่ากวานผู้พิพากษา
19.拳击手  quánjíshǒuฉวนจี๋โส่วนักมวย
20.模特儿mótè érโหมวเทอร์นางแบบ
21.职员   zhíyuánจื๋อเหยียนพนักงานบริษัท
22.鞋匠     xiéjiangเสียเจี่ยงช่างซ่อมรองเท้า
23.摄影师  Shèyǐngshīเซ่อหยิ่งซือช่างภาพ
24.公务员gōngwùyuánกงอู้เหยียนข้าชการ
25.律师    lǜshīลวู่ ซือทนายความ
26.演员     yǎnyuánเหยี่ยนเหยียนนักแสดง
27.兽医  shòuyīโซ่วอีสัตว์แพทย์
28.音乐家   yīnyuèjiāอินเย่เจียนักดนตรี
29.翻译人员fānyìrényuánฟานอี้เหรินเหยียนล่าม
30.电工   diàngōngเตี้ยนกงช่างไฟฟ้า
31.司机     sījīซืออจีคนขับรถ
32.美容师   měiróngshīเหม่ยหรงซือช่างเสริมสวย
33.导游    dǎoyóuเต่าโหยวมัคคุเทศก์
34.漫画家  mànhuàjiāม่านฮว่าเจียนักเขียนกาตูนร์
35.政治家zhèngzhìjiāเจิ่งจื้อเจียนักการเมือง
36.导演     dǎoyǎnเต่าเหยียนผู้กำกับการแสดง
37.园丁     yuándīngเหยียนติงคนทำสวน
38.邮递员  yóudìyuánโหยวตี้เหยียนบุรุษไปษณี
39.消防员  xiāofángyuánเซียวฟางเหยียนพนักงานดับเพลิง
40.电脑工程师          diànnǎogōngchéngshīเตี้ยนเหน่ากงเฉินซือวิศวกรคอมพิวเตอร์

สัตว์ภาษาจีน


สัตว์ 动物



คำศัพท์พินอินคำอ่านความหมาย
Xióngสงหมี
老虎Lǎohǔเหลาสู่เสือ
狮子Shīziซือจื่อสิงโต
犀牛Xīniúซีหนิวแรด
Gǒuโก่วสุนัข
Māoเมาแมว
熊猫Xióngmāoสงเมาหมีแพนด้า
大象Dà xiàngต้าเซี่ยงช้าง
斑马Bānmǎปานหม่าม้าลาย
鹿ลู่กวาง
袋鼠Dàishǔไต้สู่จิงโจ้
猴子Hóuziโหวจื่อลิง
狐狼Hú lángหูหลางสุนัขจิ้งจอก
河马Hémǎเหอหม่าฮิปโปโปเตมัส
刺猬Cìweiชื่อเวยเม่น
松鼠Sōngshǔซงสู่กระรอก
长颈鹿Chángjǐnglùฉางจิ่งลู่ยีราฟ
鳄鱼Èyúเอ้อหยีร์จระเข้
豹子Bàoziเป้าจื่อเสือดาว
โม่สมเสร็จ
Lángหลางสุนัขป่า
野牛Yěniúเหย่หนิววัวกระทิง
蝙蝠Biānfúเปียนฝุค้างคาว
无尾熊Wú wěi xióngอู๋เหว่ยสงหมีโคอะล่า
大猩猩Dà xīngxīngต้าซิงซิงลิงกอริลา
骆驼Luòtuoลั่วทัวอูฐ
黑猩猩Hēixīngxīngเฮยซิงซิงลิงชิมแปนซี
牦牛Máo niúเหมาหนิวจามรี
北极熊Běijíxióngเป่ยจี๋สงหมีขั้วโลกเหนือ
浣熊Huànxióngฮ่วนสงแร็กคูน
猩猩Xīngxīngซิงซิงลิงอุรังอุตัง
Shéเสองู
จีไก่
Shǔสู่หนู
ยาเป็ด
水牛Shuǐniúสุ่ยหนิวควาย